fbpx
บริหารงานอย่างไร ให้ถูกใจคนทุกวัย

บริหารงานอย่างไร ให้ถูกใจคนทุกวัย

บริหารงานอย่างไร ให้ถูกใจคนทุกวัย

บริหารงานอย่างไร ให้ถูกใจคนทุกวัย

ก่อนเข้าเรื่องการบริหารอย่างไรให้ถูกใจคนทุกวัย ขอเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของคนวัยต่างๆ โดยแบ่งคนออกเป็น Generations ตามยุคสมัยที่เกิดและเติบโต ซึ่งจะมีลักษณะเด่นของแต่ละ Generation แตกต่างกันดังนี้   

Silent Generation

     รุ่นที่ต้องเผชิญกับสงครามโลก ชีวิตเริ่มต้นนับหนึ่งกับทุกสิ่งทุกอย่าง ก้มหน้าก้มตาทำงาน ยอมทำทุกอย่าง ขอมีเพียงบ้านสักหลังสำหรับครอบครัว และยึดมั่นทำตามกรอบแบบแผนประเพณี

Baby Boomers

       รุ่นที่เกิดในช่วงทุนนิยมเบ่งบาน เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้องการความมั่นคงในการทำงาน อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากได้รถหรู เพราะเห็นพ่อแม่ทำงานมาอย่างยากลำบาก จึงยอมทำงานหนักต่อไปเพื่อความมั่นคงในชีวิต และยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเหมือนคนรุ่นก่อน

Gen X

          เกิดในยุคคาบเกี่ยวระหว่าง Analog และ Digital จากการเลี้ยงดูของ Silent Generation และ Baby Boomers ที่อยู่ในรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าตายายที่เคร่งครัดและทำงานหนัก จึงใฝ่ฝันอยากมี Work life Balance มีความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ไม่ยึดติดกับธรรมเนียมขอเพียงไม่ทำให้ใครเดือนร้อน

 

 

       Gen Y หรือ Millennial

           เป็นทายาทรุ่นแรกของ Baby Boomers และ รุ่นท้ายๆ ของ Gen X จุดร่วมของ 3 Gen คือการเติบโตมากับความสะดวกสบายและวัยเด็กที่สดใส เพราะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกเฟื่องฟูรุ่งโรจน์ เทคโนโลยีในยุคใหม่ทำให้ Gen Y มีหูตากว้างไกล มีความคิดเปิดกว้างกว่าคนรุ่นก่อนๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความอดทนต่ำ ทำให้ไม่ชอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ซึ่งเป็นจุดขัดแย้งของ Gen Y กับ Baby Boomers และ Gen X  การเติบโตมาในยุคที่มีภัยก่อการร้าย เศรษฐกิจตกต่ำ การแข่งขันในการใช้ชีวิตสูง ทำให้คน Gen Y ไม่ได้โลกสวยเหมือนกับคน Gen X ไม่อยากลงหลักปักฐาน ไม่ต้องการสร้างภาระยะยาว ไม่อยากเป็นเจ้าของทรัพยสินชิ้นใหญ่ๆ ความฝันของ Gen Y คือการใช้ชีวิตอิสระ แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยากเดินทางท่องเที่ยว เปลี่ยนที่ทำงาน จึงมีความเป็น Job Hopper (คนที่ชอบเปลี่ยนงานบ่อยๆ)  สูงกว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้

                   

                    Gen Z

เป็นทายาทรุ่นท้ายๆ ของ Baby Boomers  เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความผันผวนไม่แน่นอน ในขณะที่ Baby Boomers เกิดมาพร้อมกับความมั่นคง ทำให้ 2 รุ่นนี้มีความขัดแย้งกันสูง Baby Boomers  ชอบกฎระเบียบที่เคร่งครัด Gen Z ชอบคิดนอกกรอบ Baby Boomers  ชอบฟังคำสั่ง Gen Z ชอบท้าทาย ต้องการคำอธิบายในทุกเรื่อง ชอบตั้งคำถาม เพราะโตมาในยุคข้อมูลข่าวสารโหมกระหน่ำ และโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จึงยอมรับความแตกต่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของแต่ต้องการยอมรับในตัวตนจากสังคมและผู้คนรอบข้าง ยอมแลกทุกสิ่งที่เป็น Someone 

          ความแตกต่างของคนแต่ละ Generation เป็นตัวแทนของความแตกต่างหลายหลายของคนในองค์กร ยังไม่นับรวมความหลายหลายทางเพศ LGBTQ+  ในขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่หลายคนไม่นับถือศาสนาและมีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ซึ่งแนวคิดการบริหารงานให้เหมาะสมกับทุกกลุ่มในสถานที่ทำงานสามารถยึดหลักการง่ายๆ ที่ใช้ได้กับคนทุกกลุ่มดังนี้



  1. นโยบายที่ชัดเจนแต่มีแนวทางการปฏิบัติที่ยืดหยุ่น เน้นที่วัตถุประสงค์แต่ในขณะเดียวกันก็ยืดหยุ่นในแนวทางการปฏิบัติ เช่น เครื่องแต่งกาย จำเป็นต้องเหมือนกันเพื่อวัตถุประสงค์อะไร หากจำเป็นต้องเหมือนกันเป็นไปได้มั้ยที่สามารถใช้เป็นเสื้อคลุมคล้ายหมอผ่าตัด เช่น เพื่อความถูกสุขลักษณอนามัยของกระบวนการผลิต เราสามารถมีกระบวนการทำความสะอาดชุดก่อนเข้าไปในห้องผลิต หรือมีวิธีการใหม่ๆ ที่ให้ทีมงานช่วยกันเสนอก็จะเป็นที่ถูกอกถูกใจคน Gen Y และ Gen Z เป็นอย่างมาก 
  2. สื่อสารหลักเกณฑ์ได้โปร่งใส ชัดเจน ผู้บริหารและหัวหน้าทีมสามารถตอบคำถาม ข้อสงสัยในการทำงานตลอดจนนโยบาย หลักเกณฑ์ รวมถึงการประเมินผลการทำงานและการให้ฟีดแบคได้อย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา เช่น การมอบหมายงานให้พนักงานตำแหน่งเดียวกันไม่เหมือนกัน ต้องบอกให้ชัดเจนว่าต้องการพัฒนาให้เก่งขึ้น หรือเพราะมีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ไว้วางใจ เป็นต้น หากทำเช่นนี้ได้พนักงาน Gen Z จะไม่รู้สึกอึดอัดกับการทำงาน

         3. ก้าวข้ามความถูกใจที่เป็นรสนิยมส่วนบุคคล ต้องยอมรับความจริงว่าทุกคนต่างแบกค่านิยมส่วนตัวมาทำงานด้วยและแต่ละคนก็มีความชอบความถูกใจไม่เหมือนกันตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า หน้าผม วิธีการสื่อสาร การทำงาน ตราบใดที่สิ่งเหล่านี้ไม่กระทบต่อการทำงานคนอื่นและไม่ส่งผลต่องานที่รับผิดชอบอยู่ เราจำเป็นต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้โดยไม่ตัดสินเพื่อนร่วมงานที่มีรสนิยม ความเชื่อ และความชอบที่ต่างไปจากเรา หากพนักงานในองค์กรสามารถเปิดใจกับรสนิยมที่หลากหลายได้ ย่อมไม่ประสบปัญหาช่องว่างของการทำงานระหว่าง Generation 

         4. เป็นตัวของตัวเองในขณะเดียวกับที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้อื่นได้เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน  มนุษย์ทุกคนต่างต้องการการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในสถานที่ทำงานพนักงานมีแนวโน้มทำตัวตามความคาดหวังของหัวหน้างาน ทีมงานและองค์กร ซึ่งสิ่งที่ทำอาจจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆ ทำให้เกิดความอึดอัด กดดัน ไม่เกิดบรรยากาศปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะกับพนักงาน Gen Z ที่ต้องการการยอมรับในตัวตนของพวกเขา หากหัวหน้างานสามารถสร้างบรรยากาศให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองได้ด้วยการเริ่มทำตัวเป็นคนธรรมดา สามารถเปิดเผยสิ่งที่ทำผิดพลาด บอกถึงค่านิยมที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม เช่น ชอบเพศเดียวกันอย่างเปิดเผย และพร้อมจะยอมรับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่ายอมรับตัวเองพอๆ กับที่ยอมรับผู้อื่นในแบบที่เขาเป็น ย่อมทำให้ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถได้รับการยอมรับบนพื้นฐานของการตัดสินพนักงานจากผลงานแต่ละคนมากกว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน

           จากแนวคิดเบื้องต้นทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องจดจำรายละเอียดของแต่ละ Generation หรือความแตกต่างเฉพาะบุคคลของพนักงานแต่ละคนมากนัก เพียงแต่ต้องเปิดใจยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ตราบเท่าที่สิ่งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่องาน แต่ถ้าส่งผลต่อการปฏิบัติงานหัวหน้างานจำเป็นต้องบอกกล่าวสื่อสารอย่างชัดเจน รวมถึงแสวงหาแนวทางแก้ไขหรือทางออกร่วมกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด


อ้างอิงจากบทความ  “Creating the Best Workplace on Earth” จาก hbr.org (Online)

เขียนโดย
เพชร ทิพย์สุวรรณ
เรียบเรียง
จี สุภาวดี

Related Posts