บริหารงานอย่างไร ให้ถูกใจคนทุกวัย
ก่อนเข้าเรื่องการบริหารอย่างไรให้ถูกใจคนทุกวัย ขอเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของคนวัยต่างๆ โดยแบ่งคนออกเป็น Generations ตามยุคสมัยที่เกิดและเติบโต ซึ่งจะมีลักษณะเด่นของแต่ละ Generation แตกต่างกันดังนี้
Silent Generation
รุ่นที่ต้องเผชิญกับสงครามโลก ชีวิตเริ่มต้นนับหนึ่งกับทุกสิ่งทุกอย่าง ก้มหน้าก้มตาทำงาน ยอมทำทุกอย่าง ขอมีเพียงบ้านสักหลังสำหรับครอบครัว และยึดมั่นทำตามกรอบแบบแผนประเพณี
Baby Boomers
รุ่นที่เกิดในช่วงทุนนิยมเบ่งบาน เศรษฐกิจเฟื่องฟู ต้องการความมั่นคงในการทำงาน อยากมีบ้านหลังใหญ่ อยากได้รถหรู เพราะเห็นพ่อแม่ทำงานมาอย่างยากลำบาก จึงยอมทำงานหนักต่อไปเพื่อความมั่นคงในชีวิต และยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดเหมือนคนรุ่นก่อน
Gen X
เกิดในยุคคาบเกี่ยวระหว่าง Analog และ Digital จากการเลี้ยงดูของ Silent Generation และ Baby Boomers ที่อยู่ในรุ่นพ่อแม่และปู่ย่าตายายที่เคร่งครัดและทำงานหนัก จึงใฝ่ฝันอยากมี Work life Balance มีความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ไม่ยึดติดกับธรรมเนียมขอเพียงไม่ทำให้ใครเดือนร้อน
Gen Y หรือ Millennial
เป็นทายาทรุ่นแรกของ Baby Boomers และ รุ่นท้ายๆ ของ Gen X จุดร่วมของ 3 Gen คือการเติบโตมากับความสะดวกสบายและวัยเด็กที่สดใส เพราะอยู่ในช่วงเศรษฐกิจโลกเฟื่องฟูรุ่งโรจน์ เทคโนโลยีในยุคใหม่ทำให้ Gen Y มีหูตากว้างไกล มีความคิดเปิดกว้างกว่าคนรุ่นก่อนๆ แต่ขณะเดียวกันก็มีความอดทนต่ำ ทำให้ไม่ชอบกฎเกณฑ์ข้อบังคับ ซึ่งเป็นจุดขัดแย้งของ Gen Y กับ Baby Boomers และ Gen X การเติบโตมาในยุคที่มีภัยก่อการร้าย เศรษฐกิจตกต่ำ การแข่งขันในการใช้ชีวิตสูง ทำให้คน Gen Y ไม่ได้โลกสวยเหมือนกับคน Gen X ไม่อยากลงหลักปักฐาน ไม่ต้องการสร้างภาระยะยาว ไม่อยากเป็นเจ้าของทรัพยสินชิ้นใหญ่ๆ ความฝันของ Gen Y คือการใช้ชีวิตอิสระ แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ อยากเดินทางท่องเที่ยว เปลี่ยนที่ทำงาน จึงมีความเป็น Job Hopper (คนที่ชอบเปลี่ยนงานบ่อยๆ) สูงกว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้
Gen Z
เป็นทายาทรุ่นท้ายๆ ของ Baby Boomers เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความผันผวนไม่แน่นอน ในขณะที่ Baby Boomers เกิดมาพร้อมกับความมั่นคง ทำให้ 2 รุ่นนี้มีความขัดแย้งกันสูง Baby Boomers ชอบกฎระเบียบที่เคร่งครัด Gen Z ชอบคิดนอกกรอบ Baby Boomers ชอบฟังคำสั่ง Gen Z ชอบท้าทาย ต้องการคำอธิบายในทุกเรื่อง ชอบตั้งคำถาม เพราะโตมาในยุคข้อมูลข่าวสารโหมกระหน่ำ และโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จึงยอมรับความแตกต่างได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของแต่ต้องการยอมรับในตัวตนจากสังคมและผู้คนรอบข้าง ยอมแลกทุกสิ่งที่เป็น Someone
ความแตกต่างของคนแต่ละ Generation เป็นตัวแทนของความแตกต่างหลายหลายของคนในองค์กร ยังไม่นับรวมความหลายหลายทางเพศ LGBTQ+ ในขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่หลายคนไม่นับถือศาสนาและมีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ซึ่งแนวคิดการบริหารงานให้เหมาะสมกับทุกกลุ่มในสถานที่ทำงานสามารถยึดหลักการง่ายๆ ที่ใช้ได้กับคนทุกกลุ่มดังนี้
- นโยบายที่ชัดเจนแต่มีแนวทางการปฏิบัติที่ยืดหยุ่น เน้นที่วัตถุประสงค์แต่ในขณะเดียวกันก็ยืดหยุ่นในแนวทางการปฏิบัติ เช่น เครื่องแต่งกาย จำเป็นต้องเหมือนกันเพื่อวัตถุประสงค์อะไร หากจำเป็นต้องเหมือนกันเป็นไปได้มั้ยที่สามารถใช้เป็นเสื้อคลุมคล้ายหมอผ่าตัด เช่น เพื่อความถูกสุขลักษณอนามัยของกระบวนการผลิต เราสามารถมีกระบวนการทำความสะอาดชุดก่อนเข้าไปในห้องผลิต หรือมีวิธีการใหม่ๆ ที่ให้ทีมงานช่วยกันเสนอก็จะเป็นที่ถูกอกถูกใจคน Gen Y และ Gen Z เป็นอย่างมาก
- สื่อสารหลักเกณฑ์ได้โปร่งใส ชัดเจน ผู้บริหารและหัวหน้าทีมสามารถตอบคำถาม ข้อสงสัยในการทำงานตลอดจนนโยบาย หลักเกณฑ์ รวมถึงการประเมินผลการทำงานและการให้ฟีดแบคได้อย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา เช่น การมอบหมายงานให้พนักงานตำแหน่งเดียวกันไม่เหมือนกัน ต้องบอกให้ชัดเจนว่าต้องการพัฒนาให้เก่งขึ้น หรือเพราะมีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ไว้วางใจ เป็นต้น หากทำเช่นนี้ได้พนักงาน Gen Z จะไม่รู้สึกอึดอัดกับการทำงาน
3. ก้าวข้ามความถูกใจที่เป็นรสนิยมส่วนบุคคล ต้องยอมรับความจริงว่าทุกคนต่างแบกค่านิยมส่วนตัวมาทำงานด้วยและแต่ละคนก็มีความชอบความถูกใจไม่เหมือนกันตั้งแต่เรื่องเสื้อผ้า หน้าผม วิธีการสื่อสาร การทำงาน ตราบใดที่สิ่งเหล่านี้ไม่กระทบต่อการทำงานคนอื่นและไม่ส่งผลต่องานที่รับผิดชอบอยู่ เราจำเป็นต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้โดยไม่ตัดสินเพื่อนร่วมงานที่มีรสนิยม ความเชื่อ และความชอบที่ต่างไปจากเรา หากพนักงานในองค์กรสามารถเปิดใจกับรสนิยมที่หลากหลายได้ ย่อมไม่ประสบปัญหาช่องว่างของการทำงานระหว่าง Generation
4. เป็นตัวของตัวเองในขณะเดียวกับที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้อื่นได้เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน มนุษย์ทุกคนต่างต้องการการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในสถานที่ทำงานพนักงานมีแนวโน้มทำตัวตามความคาดหวังของหัวหน้างาน ทีมงานและองค์กร ซึ่งสิ่งที่ทำอาจจะไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆ ทำให้เกิดความอึดอัด กดดัน ไม่เกิดบรรยากาศปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะกับพนักงาน Gen Z ที่ต้องการการยอมรับในตัวตนของพวกเขา หากหัวหน้างานสามารถสร้างบรรยากาศให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองได้ด้วยการเริ่มทำตัวเป็นคนธรรมดา สามารถเปิดเผยสิ่งที่ทำผิดพลาด บอกถึงค่านิยมที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ในสังคม เช่น ชอบเพศเดียวกันอย่างเปิดเผย และพร้อมจะยอมรับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เรียกว่ายอมรับตัวเองพอๆ กับที่ยอมรับผู้อื่นในแบบที่เขาเป็น ย่อมทำให้ที่ทำงานเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถได้รับการยอมรับบนพื้นฐานของการตัดสินพนักงานจากผลงานแต่ละคนมากกว่าปัจจัยส่วนบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
จากแนวคิดเบื้องต้นทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมาจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องจดจำรายละเอียดของแต่ละ Generation หรือความแตกต่างเฉพาะบุคคลของพนักงานแต่ละคนมากนัก เพียงแต่ต้องเปิดใจยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ตราบเท่าที่สิ่งนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่องาน แต่ถ้าส่งผลต่อการปฏิบัติงานหัวหน้างานจำเป็นต้องบอกกล่าวสื่อสารอย่างชัดเจน รวมถึงแสวงหาแนวทางแก้ไขหรือทางออกร่วมกัน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
อ้างอิงจากบทความ “Creating the Best Workplace on Earth” จาก hbr.org (Online)